ในปัจจุบันหลายคนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ให้ความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ทำให้พลังงานทดแทนได้รับความสนใจไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม หรือพลังงานไฟฟ้าและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ด้วยเหตุผลทั้งเรื่องการประหยัดพลังงานและการลดการปล่อยมลพิษ การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าจึงกลายเป็นที่นิยมในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ในเอเชีย อย่างจีนและญี่ปุ่น โดยมีนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มรูปแบบ
ประเทศไทยก็เริ่มเห็นถึงประโยชน์ของรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น จากการที่มีผู้สนใจและทดลองใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าต้องพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของการใช้พลังงาน การดูแลรักษา และความเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน บทความนี้จะแชร์วิธีคิดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาปว่าควรต้องระวังเรื่องอะไรบ้างก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ
ทำไมการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
1. ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันกับการชาร์จไฟฟ้า พบว่าค่าชาร์จรถ EV จะประหยัดกว่าอย่างชัดเจน เช่น การเติมน้ำมันอาจมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1.50-3 บาทต่อกิโลเมตร ขณะที่การชาร์จไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 0.26-0.50 บาทต่อกิโลเมตร นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเครื่องยนต์สันดาป จึงไม่ต้องการการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและมีค่าซ่อมบำรุงที่ต่ำกว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันถึง 50%
2. ลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
หนึ่งในข้อดีสำคัญของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าคือการลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือสารพิษอื่นๆ เหมือนกับรถยนต์สันดาป นอกจากนี้ การใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม ยังช่วยลดภาระการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อีกด้วย
3. นโยบายส่งเสริมจากรัฐบาล
หลายประเทศมีนโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่น การยกเว้นภาษีจดทะเบียน การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า และสิทธิพิเศษในการใช้เลนพิเศษหรือที่จอดรถฟรี ในไทยเอง รัฐบาลก็เริ่มให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้าและมีมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมการใช้ EV มากขึ้น
ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
1. ความจุแบตเตอรี่และระยะทางที่วิ่งได้
แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญในการใช้งาน รถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ความจุสูงจะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลมากขึ้น เช่น รถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ขนาด 60-90 kWh จะวิ่งได้ไกลถึง 338-473 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง การเลือกรถที่มีความจุแบตเตอรี่สูงอาจทำให้ค่าใช้จ่ายในการซื้อรถสูงขึ้น แต่ในระยะยาวอาจให้ความคุ้มค่ามากกว่า
2. ระยะเวลาในการชาร์จ
ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการใช้งาน รถยนต์ไฟฟ้ามีหลายวิธีในการชาร์จ ตั้งแต่การชาร์จด้วยไฟบ้านที่ใช้เวลา 12-16 ชั่วโมง ไปจนถึงการชาร์จแบบเร็วที่ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาทีที่สถานีชาร์จนอกบ้าน ทั้งนี้ ควรพิจารณาว่าระยะเวลาการชาร์จแบบไหนที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณมากที่สุด
3. โครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จไฟ
ในประเทศไทย โครงสร้างพื้นฐานของสถานีชาร์จไฟฟ้ายังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ การติดตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าที่บ้านอาจเป็นทางเลือกที่สะดวกกว่า แต่ต้องเตรียมพร้อมในการปรับปรุงระบบไฟฟ้าที่บ้านให้สามารถรองรับกำลังไฟที่เพียงพอ รวมถึงการติดตั้งโดยช่างไฟฟ้าที่มีความชำนาญเพื่อความปลอดภัย
4. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเครื่องยนต์ที่ซับซ้อนเหมือนกับรถยนต์สันดาป จึงไม่ต้องการการบำรุงรักษาที่มากเท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน การบำรุงรักษาของรถ EV ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของระบบแบตเตอรี่และการชาร์จไฟ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่แบตเตอรี่เสียหาย ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่อาจสูงกว่าค่าซ่อมบำรุงรถยนต์สันดาปหลายเท่า ดังนั้น การเลือกแบรนด์ที่มีบริการหลังการขายที่ดีและการรับประกันแบตเตอรี่ที่ครอบคลุมจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง
5. สถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะ
การชาร์จไฟฟ้าตามสถานีสาธารณะอาจสะดวก แต่ยังคงมีข้อจำกัดเรื่องความครอบคลุมในหลายพื้นที่ ดังนั้น การตรวจสอบว่าสถานีชาร์จไฟฟ้าในพื้นที่ที่คุณอาศัยหรือเดินทางบ่อยมีอยู่ใกล้หรือไม่เป็นสิ่งสำคัญ
เป็นยังไงกันบ้างครับจะเห็นได้ว่าก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความจุแบตเตอรี่ ระยะเวลาชาร์จ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการชาร์จไฟฟ้า การที่เราเข้าใจเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้การใช้รถไฟฟ้าของเราสะดวกสบายมากขึ้นไปอีกขั้นและคุ้มค่าในระยะยาว
สนใจอยาก ซื้อ-ขาย ประเมินราคารถฟรี ติดต่อ JUST CAR ได้ทุกช่องทาง
โทร: 097-964-6747
Line: @justcarused