เมื่อต้องการซื้อรถยนต์มือสองมาใช้งาน เจ้าของรถยนต์มือใหม่หลายคนอาจมีความกังวลใจในเรื่องของการดูแลรักษารถมือสองให้อยู่คู่การใช้งานได้ในระยะยาว หากตอนนี้คุณเป็นอีกคนที่กำลังชั่งใจอยู่ว่า ควรจะซื้อรถยนต์มือสองดีไหม เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะดูแลรักษารถมือสองอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ลองมาทำความรู้จักกับ 5 เช็กลิสต์การดูแลและตรวจเช็กรถยนต์มือสองด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ ที่นำมาฝากในวันนี้ เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจในเรื่องการดูแลรถยนต์มือสองกัน!
1. ตรวจเช็กจากตารางซ่อมบำรุง
เมื่อสนใจที่จะซื้อรถยนต์มือสอง สิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก คือ สภาพรถยนต์และอายุของรถยนต์ที่สนใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นรถยนต์รุ่นไหนจากปีใดก็ล้วนต้องมีการซ่อมบำรุง ซึ่งหากรถยนต์มีสภาพที่มีความสมบูรณ์น้อย หรือเป็นรถยนต์ที่มีอายุมาก ค่าใช้จ่าย เวลา และความยุ่งยากในการซ่อมบำรุงก็จะยิ่งมากขึ้น
โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่สนใจซื้อรถยนต์มือสองแบบเรา ๆ สามารถตรวจเช็กสภาพรถยนต์ได้จากคู่มือที่มาพร้อมกับตัวรถยนต์ โดยคู่มือในส่วนนี้จะระบุชัดเจนว่า ส่วนไหนในรถยนต์ต้องตรวจเช็ก ซ่อมบำรุง หรือถึงรอบเวลาที่ต้องเปลี่ยนถ่ายของเหลว หรือเปลี่ยนอะไหล่การใช้งานส่วนใดบ้าง
อย่างไรก็ดี หากรถยนต์มือสองที่สนใจนั้นไม่มีคู่มือ เอกสาร หรือตารางซ่อมบำรุงมาให้ เจ้าของรถยนต์ก็สามารถค้นหาคู่มือการใช้งานจากอินเทอร์เน็ต หรือว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบความผิดปกติในส่วนต่าง ๆ ก่อน จากนั้นจึงทำการบันทึกสภาพรถยนต์เหมือนทำเป็นตารางซ่อมบำรุงขึ้นมาใหม่ เพียงเท่านี้ก็สามารถดูแลรักษารถมือสองตามรอบเวลาที่เหมาะสมเหมือนกับซื้อรถยนต์คันใหม่ได้เช่นกัน
2. หมั่นฟังเสียงเครื่องยนต์เป็นประจำ
หลังจากที่ตรวจเช็กสภาพของรถยนต์เรียบร้อย ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสอง ขอแนะนำให้ทุกคนลองสตาร์ทเครื่องเพื่อฟังเสียงเครื่องยนต์ดูก่อนสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการตรวจสอบถึงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์
เมื่อซื้อรถยนต์มือสองที่สนใจมาเรียบร้อย เจ้าของรถยนต์ทุกคนก็ยังควรหมั่นสังเกตและฟังเสียงเครื่องยนต์ในจังหวะต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะเร่งเครื่อง ผ่อนแรง ไปจนถึงการเบรกรถยนต์ การเลี้ยวรถ รวมไปถึงการเข้าเกียร์ที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ ทุกคนยังควรสังเกตถึงแรงสั่นสะเทือนและเสียงแปลก ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงกึกกักจากชิ้นส่วนที่หลวม แรงสั่นจากห้องเครื่อง ตลอดจนเสียงที่เกิดจากยางและการขยับล้อด้วย
การหมั่นสังเกตทุกความผิดปกติอยู่เป็นประจำสามารถช่วยผู้ขับรถยนต์มองเห็นปัญหาและรีบนำรถยนต์ไปซ่อมบำรุงได้ทันเวลา ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลรักษารถมือสองที่จะช่วยยืดอายุของรถยนต์ให้อยู่คู่การใช้งานไปได้อีกยาวนาน
3. ตรวจสอบความผิดปกติจากหน้าปัดรถยนต์เสมอ
หน้าปัดรถยนต์ ไม่ได้เป็นตัวบอกความเร็วและอัตราการเร่งของรถยนต์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งจุดที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รถยนต์สังเกตได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในรถ
โดยส่วนใหญ่แล้ว หน้าปัดรถยนต์จะมีสัญญาณไฟเตือนเกี่ยวกับระบบต่าง ๆ ในรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นความร้อน แรงดันน้ำมันเครื่อง อาการเครื่องยนต์ เกจวัดโวลต์ แบตเตอรี่ ไปจนถึงระดับน้ำ ไฟเตือนการควบคุมการทรงตัวของรถยนต์ ตลอดจนความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับพวงมาลัย และอื่น ๆ อีกมากมายที่แตกต่างกันไปตามรุ่น ยี่ห้อ และเทคโนโลยีเฉพาะของรถยนต์
ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสอง อย่าลืมตรวจเช็กประสิทธิภาพการทำงานของหน้าปัดรถยนต์ ไปจนถึงความผิดปกติที่แสดงบนหน้าปัดร่วมด้วย หรือหากตัดสินใจซื้อรถยนต์คันที่สนใจมาแล้วก็อย่าลืมหมั่นสังเกตสัญญาณเตือนต่าง ๆ บนหน้าปัดอยู่เป็นประจำด้วย
4. อย่าลืมเช็กยางและช่วงล่าง
รู้หรือไม่? สภาพของยางและช่วงล่าง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ ทั้งยังส่งผลต่อความสิ้นเปลืองในการใช้พลังงานการขับเคลื่อนรถยนต์อย่างไฟฟ้าและน้ำมันอีกด้วย
หากลมยางอ่อนเกินไป หรือมีดอกยางที่เสื่อมสภาพ ก็จะทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนได้ยากและเบรกไม่ค่อยอยู่ ซึ่งนอกจากจะเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุแล้ว รถยนต์จะต้องใช้พลังจากเครื่องยนต์มากขึ้น ส่งผลให้ใช้พลังงานอย่างน้ำมันหรือไฟฟ้ามากขึ้นด้วย
ในทางเดียวกัน นอกจากจะทำให้ควบคุมรถยนต์ได้ยาก จนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุแล้ว รถยนต์ที่มีช่วงล่างไม่แข็งแรงยังทำให้รถยนต์มีความหน่วง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออัตราการเร่ง ทำให้เครื่องยนต์ต้องใช้พลังงานจากไฟฟ้า หรือน้ำมันมากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมลดค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังงานขับเคลื่อนรถยนต์ที่มากเกินความจำเป็น เมื่อซื้อรถยนต์มือสองมาแล้ว อย่าลืมตรวจเช็กยางและช่วงล่างอยู่เป็นประจำด้วย
5. เช็กระบบไฟของรถยนต์ด้วย
ระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม แม้จะไม่ได้ซื้อรถยนต์มือสองที่เป็นพลังงานขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ามาใช้ก็ตาม
หลัก ๆ แล้ว ระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ที่ต้องตรวจสอบอยู่เป็นประจำ คือ ระบบไฟหน้าและไฟหลังที่แสดงไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไปจนถึงไฟฉุกเฉิน โดยไฟดังกล่าวนี้จะเป็นตัวบอกสัญญาณและทิศทางของรถยนต์บนท้องถนน ทำให้ช่วยลดอุบัติเหตุในการขับขี่ได้
นอกจากระบบไฟภายนอกแล้ว เจ้าของรถยนต์ยังควรตรวจเช็กระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ ขอแนะนำให้ตรวจเช็กถึงระบบสตาร์ท ระบบไฟฟ้าภายในห้องโดยสาร ตลอดจนระบบไฟที่นำมาต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้องหน้ารถยนต์อยู่เป็นประจำ ซึ่งหากตรวจพบความผิดปกติที่จุดใดก็ควรรีบแก้ไขในทันที เพื่อป้องกันการเกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจรจนทำให้รถยนต์ดับ หรือเพลิงไหม้ได้
เพียงเท่านี้ก็หมดห่วงเรื่องการดูแลรถยนต์มือสองหลังจากซื้อมาแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสอง ขอแนะนำให้เลือกรถยนต์ที่มีการตรวจเช็กสภาพมาอย่างครบถ้วน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น จนนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้นด้วย หากใครกำลังมองหารถยนต์มือสองสภาพดี ราคาเป็นกลางทั้งคนขายและซื้อ ทั้งยังมีเอกสารและการตรวจเช็กครบถ้วนก่อนส่งมอบ อย่าลืมมาตามหารถมือสองสภาพดีที่ JUST CAR
ติดตาม JUSTCAR เพื่อรับข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : JUST CAR ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจรถมือสองครบวงจร
Instagram : JUSTCAR.Thailand
Youtube : @justcar.official
Tiktok : JUST.officialth